วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ไข่ตุ๋นเนื้อเทียน



   เมนูเบา ๆ กินตอนร้อน ๆ โดนใจคนทั้งบ้าน วัตถุดิบใช้ปรุงไข่ตุ๋นเนื้อนวลเนียน เนียนนิ่มนวล หน้าตาตามนี้คะ ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนแอดมินลองทำมาแล้วหลากหลายสูตร ที่สุดแล้วมาลงตัวที่สูตรนี้ เด็ดขาดมาก ๆ คะ 

ไข่
ChawanMushi

ไข่ไก่เบอร์ 2 .. 5 ใบ
ฮอนดาชิ 550 ml.
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
สาเกมิริน 1 ช้อนโต๊ะ
โซหยุ 1 ช้อนชา [ใช้ซีอิ๊วขาว หรือใส่เกลืออย่างเดียวก็ได้]

ส่วนประกอบอื่น ๆ - เนื้อกุ้ง/ลูกแปะก๊วย/เห็ดหอม/ถั่วหวาน/ปูอัด ฯล
ฯ 


- จัดตั้งซึ้งใบย่อม ๆ บนเตาไฟ ใส่น้ำไปครึ่งหม้อ เปิดไฟให้แรงสุดรอไว้ 

- ต่อยไข่ใส่ชามแล้วคนเบา ๆ ไม่ต้องตีแรงให้ฟูฟ่องแบบไข่เจียวนะคะ

- ค่อย ๆ เติมน้ำซุปลงไป แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดไปกรองด้วยกระชอน
เศษไข่ขาวที่เหลืออย่าใส่ลงไปโดยเด็ดขาด ตัดใจทิ้งไปเถอ

- กรองเสร็จแล้วอย่าคนแรง เดี๋ยวจะเกิดฟองอากาศเต็มไปหมดแล้วมันจะกำจัดยากน๊า
จำไม่ได้ว่าไปแอบดูสูตรของใคร เค้าบอกให้เร่งไฟในตอนแรก ๆ ประมาณ 5-7 นาที
ทำออกมาแล้วไข่เกิดฟองอากาศเต็ม อิอิ ไปเชื่อเขา ทำแบบเราทำมันก็ดีอยู่แล้วอ่ะน๊ะ
ไม่มีฟองอากาศเลย รอบหน้าขอกลับไปทำแบบเดิม ๆ ดีกว่า เร่งไฟให้น้ำเดือดสุด ๆ 

- วางถ้วยแล้วหรี่ไฟเบาสุด ๆ ไข่ตุ๋นที่ได้ออกมาหน้าตาดี เนียนแบบไม่มีฟองอากาศ 
วางลูกแปะก๊วยไว้ก้นถ้วยก่อน นึ่งประมาณเจ็ดนาทีแล้วค่อยวางเครื่องไปอีกรอบ

- นึ่งไปประมาณ 7 นาที ไข่เริ่มอยู่ตัวก็เริ่มวางหน้าต่าง ๆ ที่ชื่นชอบลงไปคะ

- ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 15 นาทีด้วยไฟเบาสุด ๆ เบาแบบจวนเจียนจะดับ

- ไข่ตุ๋นแบบนี้ใช้เวลาไม่นาน สุกง่ายมาก เนื้อไข่ไม่แข็งกระด้าง แหล่มคะ 

- ตามร้านส่วนใหญ่เค้าจะวางเนื้อไก่ไว้ก้นถ้วย แต่สมาชิกที่บ้านไม่ใคร่ปลื้มเนื้อไก่อ่ะคะ
รอบนี้ไฟแรงเกินจะมีฟองอากาศ ฉะนั้นควรหรี่ไฟให้เบาสุด ๆ แบบจวนเจียนจะดับแบบนั้น

- ทำตามแบบที่แอดมินเคยทำคือเปิดไฟให้แรงสุด ๆ พอวางถ้วยแล้วหรี่ไฟทันที
รับรองได้ไข่ตุ๋นที่ได้จะไม่มีฟองอากาศให้รำคาญตาอย่างแน่นอน ฟันธงคะ


StrawBerry Swirl


  ชีสเค้กหน้าตาหวานแหวว สีสันชมพูพิ้งกี้แบบนี้จัดเป็นหนึ่งในตระกูลชีสเค้กทั้งหลายทั้งปวง สีสันได้ใจมากมาย เค้กแบบนี้เหมาะที่จะมอบให้ทุก ๆ คนอันเป็นที่รักในวันสำคัญ ๆ 

นอกจากสีสันหวานแหววหน้าตาสะสวยงามแล้ว รสชาติของมันยังไม่เป็นสองรองใครด้วยน๊ะ

StrawBerry Swirl4



ส่วนผสมครีมชีส ... 

- ครีมชีส (ขนาด 250 กรัม) 2 ก้อน
- น้ำตาลไอซิ่ง 200 กรัม
- น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- ผิวมะนาวหรือผิวส้มขูด 1 1/2 ช้อนชา
- ผงเจลาติน 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
- สตอเบอรี่หั่นละเอียด 300 กรัม (มากน้อยแล้วแต่ความชอบ)
- วิปปิ้งครีม 8 ออนซ์



สตอเบอรี่สีแดงจัดจ้านตัวการสำคัญในการทำเค้กหน้าตาแบบนี้ให้ดูดี มีรสชาติ หลายสายพันธ์
ระยะนี้สตอเบอรี่ในเมืองไทยแอบแพงมากคะ 







ชีสเค้กสูตรนี้ใส่วิปปิ้งครีมผสมเข้าไปด้วย ขอเพิ่มโยเกิร์ตรสสตอเบอรี่ใส่เข้าไปด้วย
ใส่สตอเบอรี่โยเกิร์ตเข้าไปแล้วรู้สึกได้เลยว่าครีมชีสมีกลิ่นหอม รสชาติดีด้วย ขอบอก 
โดยเอาวิปปิ้งครีมผสมรวมไปกับโยเกิรต์ .. โอ๊ะโอ ขาว-ชมพู สีสันสวยงาม ได้ใจมากมาย



เตรียมพิมพ์ถอดข้างขนาด 9 นิ้ว ปูกระดาษไขโดยรอบรอไว้ก่อน






มาวางฐานรากเค้กกันก่อน .. 


บิสกิตบดละเอียด ผสมกับเนยละลาย แอดมินใช้เนยเค็มเพราะอยากได้สามรส เปรี้ยว-หวาน-เค็ม
เค็มของฐานราก เปรี้ยวของครีมชีสตรงกลาง และหวานปะแล่ม ๆ ของหน้ามูสสตอเบอรี่นั่นเอง








วางฐานรากเรียบร้อยลงมือสร้างอาคารกันต่อ ... 


- ในโถผสม ครีมชีสอ่อนตัว ใส่น้ำตาล [แอดมินใช้น้ำตาลไอซิ่งในการทำชีสเค้กทุกชนิดนะคะ]


- ตีครีมชีสและน้ำตาลนวลเนียนดีแล้ว ใส่เจลลาตินละลาย ใส่วิปปิ้งครีมที่ผสมโยเกิร์ต์ลงไป 
ขอใส่ผิวมะนาวขูดและน้ำมะนาวไปด้วย ผิวมะนาวหรือผิวส้มขูดทำให้ครีมชีสรสชาติเข้มข้น



- ได้ครีมชีสสีชมพูนวลเนียน มองเห็นผิวมะนาวขูดด้วย 


- ใส่สตอเบอรี่หั่นละเอียดลงไปแล้วเกลี่ยให้ทั่ว ให้กระจายทั่ว ๆ 
- วิธีการแบบเดียวกับการทำชีสเค้กมะม่วง เอาเนื้อสตอเบอรี่โรยใส่ไป
บนหน้าครีมชีสอีกรอบก่อนปิดทับด้วยหน้ามูสสตอเบอรี่ก็ได้นะคะ 



- คนและเกลี่ยจนหน้าเรียบแล้ว ห่อพิมพ์ด้วยฟิลม์ใส
แล้วนำไปแช่เย็นต่ออีกประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง








มาถึงขั้นตอนการแต่งหน้าทาสีกันต่อ ... 


- ใส่หน้ามูสสตอเบอรี่ 

- น้ำตาลทราย 160 กรัม [ถ้าสตอเบอรี่มีรสหวาน ลดน้ำตาลลงได้]
- น้ำ 80 กรัม
- ผงเจลลาติน 4 ชช.
- สีแดงผสมอาหาร 1-2 หยด
- เนื้อสตอเบอรี่ 200-300 กรัม [มากน้อยตามชอบ]
- วิปปิ้งครีม 300 กรัม [แอดมินลดเหลือ 200 กรัม]



- เอาหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย ใส่น้ำเปล่า เคี่ยวน้ำตาลให้ละลายเป็นน้ำเชื่อม
- ใส่เนื้อสตอเบอรี่ลงไป ใส่เจลลาตินละลาย เร่งไฟให้แรง ๆ เดือดแล้วปิดเตาทันที
แอดมินไม่ชอบกวนเนื้อสตอเบอรี่นานเกิน หากสุกเกินไปเนื้อจะเละ กลัวจะไม่หอม
- ตอนใส่วิปปิ้งครีมไปแล้วสีของมูสจืดจางเลยต้องเพิ่มสีผสมอาหารสีแดงแจ๊ดลงไป
- ใส่สีลงไปสักหยด-สองหยด จะได้สีหน้าที่คมเข้มขึ้น ... หน้าตาสะสวยได้อีก 


StrawBerry Swirl2


- ทิ้งให้เย็นตัวแล้วจับใส่เครื่องผสมปั่นให้ละเอียด เติมวิปปิ้งครีมลงไป แล้วเอามาราดบนครีมชีส
เสร็จแล้วแรพด้วยพลาสติกใส นำเข้าแช่เย็นต่ออีกประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้นก็ได้



- หน้ามูสเซทตัวแล้วแกะพิมพ์ออก ดึงกระดาษไขรอบ ๆ พิมพ์ออกด้วย 
[การปูกระดาษไขรอบ ๆ พิมพ์จะวางหรือไม่วางก็ได้ ตรงนี้ไม่จำเป็น]
ที่แอดมินปูลงไปเพราะเบื่อการล้างพิมพ์คะ ครีมชีสมักจะติดรอบ ๆ พิมพ์







- ถอดออกจากพิมพ์แล้วลอกกระดาษรอบ ๆ ออก เปลื้องผ้าผ่อนแล้วได้หน้าตาแบบนี้คะ
แต่งหน้าให้สะสวยด้วยสตอเบอรี่สดกันหน่อย สีสันชมพูได้ใจมากมาย ... แหล่มเลย



- เวลาตัดชีสเค้กควรเอามีดฟันเลื่อยไปจุ่มน้ำร้อนแล้วค่อยเอามาตัดจะได้ผิวเรียบ ๆ 
ขณะตัดต้องทำเวลาหน่อย เจออากาศร้อนอบอ้าวแบบบ้านเรา เค้กละลายเร็วมาก
จะให้ดีต้องเอาไปตัดในห้องแอร์ที่เปิดแอร์แบบเย็นฉ่ำ จะได้เค้กแบบเรียบกริบ



มาแอบดูเนื้อในของคุณเธอกันหน่อย อดใจไม่ไหว ขอตัดชิมหน่อยเถอะ ซี๊ดดดดด ... เย็นชื่นใจดีจัง .. 


ทำใส่ถ้วยแบบนี้ก็สะดวกดี กินง่ายไม่เลอะเทอะ ใส่ถ้วยแล้วจับเรียงซ้อน ๆ ในตู้เย็น ไม่ต้องระวังมากเหมือนทำใส่พิมพ์






- รอบนี้สตอเบอรี่สุกงอมไปหน่อย ซื้อทิ้งไว้หลายวันกว่าจะได้ลงมือทำ


- ทำเสร็จสรรพไม่ค่อยมั่นใจ เกรงว่าเนื้อสตอเบอรี่จะสุกงอมเกิน เกรงจะไม่อร่อยเท่าที่ควร
บอกน้องสาวว่าเดี๋ยวฉันจะทำให้ใหม่ อันนี้เอาไว้กินที่บ้านเถอะ ฉันไม่กล้าเอาไปออกงาน 
น้องสาวเห็นเราไม่มั่นใจอาสาจะเป็นผู้ชิมให้ ชิมแล้วเธอฟันธงว่ามันก็โอเค ค่อยโล่งอก
คุณน้องสาวไปเรียกคุณพี่สาวให้มาชิมด้วย เพื่อความมั่นใจแบบร้อยเปอร์เซนต์ไปเลย
หนูทดลอง คุณพี่สาวคอมเมนท์ว่าเนื้อสตอฯ งอมไปนิดแต่ก็โอเคแล้ว ไม่มีปัญหา .. จัดไป



- ตอนแรกว่าจะไปตัดที่งานเลี้ยง นึกได้ว่ามันเป็นชีสเค้ก ยุ่งยากเรื่องการเก็บ ต้องแช่เย็นตลอด
จัดการตัดไปจากที่บ้าน แรพด้วยพลาสติกเบ็ดเสร็จ จับเรียงใส่กล่องแบบนี้สะดวกกว่าเยอะ



อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ ได้ชีสเค้กเย็น ๆ สักชิ้น .. ชื่นใจจริง ๆ

StrawBerry Swirl

เนื้อเค็มต้มกะทิ


เนื้อเค็มต้มกะทิ สูตรโบราณ

    เนื้อเค็มต้มกะทิ เป็นสูตรที่หาทานได้ยากมากค่ะ ในปัจจุบันนี้ค่ะ เพราะ ไม่ค่อยมีคนทราบขั้นตอนการทำ และ เป็นสูตรที่ไม่ค่อยมีคนทราบมากนักค่ะ แต่วันนี้เราจะ นำสูตรมาเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังๆที่ยังไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติ เนื้อเค็มต้มกะทิ ได้ลองทำทานกันดูค่ะ

ส่วนประกอบ

เนื้อเค็ม หรือ เนื้อแดดเดียว 300 กรัม (เปลี่ยนเป็นหมูเค็มได้) 
กะทิ 3 ถ้วย (คั้นหัวกะทิ 1 ถ้วย – หางกะทิ 2 ถ้วย)
หอมแดงซอย 20 หัว 
น้ำตาลปีบ 2-3 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร และ น้ำปลา (มากน้อยตามชอบ)
พริกขี้หนูเม็ดเล็ก 
ใบมะกรูดฉีก
ใบมะกรูดซอย สำหรับโรยหน้า



เนื้อเค็มต้มกะทิ เมนูโบราณ(ชาววัง)


วิธีทำ

   ย่างเนื้อเค็ม แล้วทุบให้นิ่ม แล้วฉีกเป็นเส้น หรือหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตามภาพก็ได้ 
นำหางกะทิใส่หม้อ ใส่เนื้อเค็มและหอมแดงลงเคี่ยวกับหางกะทิด้วยไฟอ่อน ๆ เคี่ยวจนงวด
(ถ้าใช้กะทิชนิดกล่อง ถ้าหัวกะทิข้นมาก ให้นำหัวกะทิผสมกับน้ำเล็กน้อย เพื่อใช้เป็นหางกะทิ)
หรือเคี่ยวจนกวาเนื้อเค็มจะเปื่อย แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา และเกลือป่น, น้ำตาลปีบ ชิมรสตามชอบ
ใส่พริกขี้หนู ฉีกใบมะกรูดใส่ไป ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ไม่ควรให้พริกขี้หนูสุกมากเกินไป ดับไฟเตา 
ตักเนื้อเค็มต้มกะทิใส่ชาม โรยใบมะกรูดซอย นำเสริฟขณะที่ยังร้อน ๆ ถ้าปล่อยให้เย็นตัวจะขึ้นไข

หมายเหตุ - เนื้อต้มกะทิแบบนี้รสชาติคล้ายหลนกะทิ จึงรับประทานกับผักสดต่าง ๆ ได้นะคะ


นำหางกะทิใส่หม้อ ใส่เนื้อเค็มและหอมแดงลงเคี่ยวกับหางกะทิด้วยไฟอ่อน ๆ เคี่ยวจนกะทิงวด
(ถ้าใช้กะทิชนิดกล่องและหัวกะทิข้นมาก ให้นำหัวกะทิผสมกับน้ำเล็กน้อยเพื่อใช้เป็นหางกะทิ)




ปรุงรสด้วยน้ำปลาอย่างดี, เกลือป่น, น้ำตาลปีบ 
ชิมรสตามชอบแล้วใส่พริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กลงไป 





เมื่อใส่พริกขี้หนูไปแล้ว อยากจิบอกว่ากลิ่นหอมแบบที่เคยกินตอนมารดาทำนั้น มันใช่เลย 
กลิ่นพริกผสมกับหอมและหัวกะทิ โอ้ววว แม่เจ้า กลิ่นเมนูโบราณมันช่างหอมจรุงจิตมาก 




ฉีกใบมะกรูดบางส่วนใส่ไป ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ไม่ควรให้พริกขี้หนูสุกมากเกินไป ดับไฟเตา 




สมุนไพรไทยล้วนให้กลิ่นหอมที่สดชื่น กลิ่นหอมชื่นใจ ใบมะกรูดสด ๆ ฉีกใส่ไป ส่งกลิ่นโชยทันที




กระทะนี้ทำรอบที่สอง ใช้เนื้อเค็มแบบอบ ไม่ได้ตากแดดเนื่องจากช่วงนี้ฝนลงทุกวัน ตากแล้วไม่แห้งสนิท
ก็เลยต้องใช้วิธีอบแห้งหมาดๆ แล้วเก็บใส่ช่องแช่แข็ง สีสันไม่เข้มจัดเหมือนำออกตากแดด แบบนี้แห้งสนิท



   ตักเนื้อเค็มต้มกะทิใส่ชาม โรยใบมะกรูดซอยฝอย นำเสริฟ 
เนื้อต้มกะทิแบบนี้รสชาติคล้ายหลน จึงรับประทานกับผักสดต่าง ๆ ได้




วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ข้าวผัด:สูตรมังสวิรัติ




    อาหารเจวันนี้ขอนำเสนอเป็นจานเด็ดสุดอร่อยจากลูกหนำเลี๊ยบที่หลายคนนิยมนำไปผัดกับหมูสับรับประทานคู่กับข้าวต้ม แต่วันนี้ขอเสนอเป็นข้าวผัดหนำเลี๊ยบสไตล์จีนที่ทำง่ายมาก ๆ มีวัตถุดิบไม่กี่อย่าง ใช้เวลาไม่นานก็ได้อาหารเจและมังสวิรัติจานอร่อยไว้รับประทานแล้ว ไม่ต้องเบียดเบียนเนื้อสัตว์เลยด้วย ได้ลดน้ำหนักด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการยิงปืนครั้งเดียวได้นก 2 ตัวเลยทีเดียวจ้า

   
สิ่งที่ต้องเตรียม
           น้ำมันพืชสำหรับผัด 1 ช้อนโต๊ะ

           เนื้อหนำเลี๊ยบบดละเอียด 2 ลูก

           โปรตีนเกษตรแบบหมูสับแช่น้ำจนนิ่ม 1 ช้อนโต๊ะ

           ซอสเห็ดหอม 1 ช้อนชา

           น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา

           ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา

           พริกไทยป่นเล็กน้อยสำหรับปรุงรส

           น้ำ หรือน้ำซุปผัก 2 ช้อนโต๊ะ

           ข้าวสวย 1 ถ้วย

           ต้นหอมซอย 1 ต้น (หากรับประทานแบบเจไม่ต้องใส่)

          * อาจเพิ่มเห็ดหอมหั่นบาง แครอทหั่นเต๋าเล็ก ถั่วลันเตา หรือธัญพืชตามชอบ


วิธีทำ


           1. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟจนร้อน ใส่หนำเลี้ยบ และโปรตีนเกษตรลงผัด ปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว พริกไทยป่น และน้ำซุปผัก ผัดผสมจนเข้ากัน และหนำเลี้ยบกระจายทั่วกระทะ จากนั้นใส่ข้าวสวย และต้นหอมลงผัดให้เข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พร้อมรับประทาน

          ใครอยากจะใส่ผัก หรือธัญพืชชนิดใดก็เพิ่มเติมลงไปได้ตามชอบเลยนะคะ ได้ประโยชน์เพิ่มชึ้นอีกเป็นกองเลย


พล่าเห็ดเข็มทองเจ:สูตรอาหารมังสวิรัติ



    

    อย่างที่รู้ ๆ ว่า อาหารเจ มักหนักไปทางแป้งเสียส่วนมาก กว่าจะกินครบ 10 วัน เล่นเอาน้ำหนักขึ้นเป็นกิโลฯ สูตรอาหารเจ อร่อย ๆ วันนี้เลยขอนำเสนอเมนูยำรสเด็ดกันสักหน่อยเอาใจคนชอบกินอาหารรสจัดกับเมนู พล่าเห็ดเข็มทองเจ : สูตรอาหารมังสวิรัติ สูตรอาหารลดน้ำหนัก ที่ไม่ใช่แค่แซ่บอย่างเดียวเท่านั้น แต่แคลอรี่ต่ำกินแล้วไม่อ้วนด้วย แถมยังทำง่าย ๆ ลองมาดูส่วนผสมและวิธีทำพล่าเห็ดเข็มทองเจ กันเลยจ้า อูย น้ำลายจะไหล !

พล่าเห็ดเข็มทอง

ส่วนผสม

           เห็ดออรินจิหั่นเต๋า 

           เห็ดเข็มทอง

           ตะไคร้ซอย                     
                         
           ใบมะกรูดหั่นฝอย   

           พริกชี้ฟ้าแดงซอย

           พริกชี้ฟ้าแห้งทอด

           น้ำมะนาว

           น้ำตาลทราย

           พริกเผาเจ

           เกลือป่น

           ใบสะระแหน่

       วิธีทำ
         1. ใส่น้ำมะนาว น้ำตาลทราย พริกเผาเจ และเกลือป่นลงในภาชนะ
         2. ใส่เห็ดออรินจิ (นำไปลวกก่อน ประมาณ 1 นาทีค่ะ) ลงไปแล้วเคล้าให้เข้ากัน 
         3. ตามด้วยเห็ดเข็มทองลวก (เห็ดเข็มทองลวกประมาณ 1 นาที ถ้าลวกนานเห็ดจะเหนียว) 
         4. ใส่ตะไคร้ซอย ใบมะกรูดหั่นฝอย พริกชี้ฟ้า และพริกชี้ฟ้าแห้งทอดลงไป เคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน 
         5. ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ พร้อมเสิร์ฟ
              เทศกาลกินเจแบบนี้ ได้พล่าเห็ดเข็มทองเจแซ่บ ๆ แบบนี้สักจาน น่าจะช่วยเพิ่มสีสันมื้ออาหารเจของคุณให้อร่อยยิ่งขึ้น


อาหารมังสวิรัติ:มาม่าเจ



  อาหารมังสวิรัติ:มาม่าเจ ปีนี้กินเจรอบ 2 ไม่ค่อยฮิต คนกินเจอาจจะหาของกินยากไปสักหน่อย วันนี้เราเลยนำเมนูมาม่าผัดขี้เมาเจมาฝาก ทั้งง่ายทั้งอร่อย ไม่ต้องง้อใคร!

มาม่าเจ
          ถึงแม้กินเจปีนี้จะเป็นโอกาสพิเศษที่มีการกินเจถึง 2 ครั้ง แต่ก็ใช่ว่าการจะกินเจในรอบที่ 2 จะคึกคักเหมือนรอบแรก เลยทำให้คนที่กำลังกินในตอนนี้อยู่อาจจะหาอาหารเจกินยากไปสักหน่อย วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยนำสูตรอาหารเจอร่อย ๆ อย่างมาม่าผัดขี้เมาเจ เมนูเจทำง่าย ๆ อร่อย ครบรสมาฝาก ถึงไม่มีร้านอาหารเจขายแต่คุณก็สามารถทำอาหารเจง่าย ๆ อิ่มท้อง อิ่มบุญได้เองโดยไม่ต้องง้อใครเลยล่ะ
ส่วนผสม
            
           บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 ห่อ

           เต้าหู้แข็ง (หั่นเป็นชิ้นเล็ก) 1/2 ก้อน

           เห็ดหอม (แช่น้ำสับละเอียด) 3 ดอก

           พริกขี้หนูสวน (ทุบพอแตก) 1 ช้อนโต๊ะ

           กะหล่ำปลี (หั่นเป็นชิ้น) 1 ถ้วย

           ข้าวโพดอ่อน (หั่นเป็นชิ้น) 4 ดอก

           เห็ดหูหนูดำ (หั่นเป็นเส้น) 3 ช้อนโต๊ะ

           พริกชี้ฟ้า (หั่นเป็นเส้น) 1 เม็ด

           พริกไทยอ่อน 5 ช่อ

           ซอสแม๊กกี้ 4 ช้อนโต๊ะ

           ใบกะเพรา 1 ถ้วยตวง

           น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

           น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

                         วิธีทำ

           ลวกเส้นมาม่าจนสุกพอคลายตัว ตักขึ้นสะเด็ดน้ำแล้วใส่น้ำมันพืชลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เคล้าให้เข้ากัน เตรียมไว้
มาม่าผัดขี้เมาเจ เมนูเจง่าย ๆ กลิ่นหอมชวนหิว

มาม่าผัดขี้เมาเจ เมนูเจง่าย ๆ กลิ่นหอมชวนหิว
           ใส่น้ำมันลงในกระทะ ใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง ใส่เต้าหู้ลงทอด ตามด้วยเห็ดหอม ทอดพอเหลือง ตักใส่จาน เตรียมไว้
มาม่าผัดขี้เมาเจ เมนูเจง่าย ๆ กลิ่นหอมชวนหิว
           เทน้ำมันจากการทอดเต้าหู้ออกให้เหลือแค่พอขลุกขลิกแล้วลดไฟลง ใช้ไฟกลางค่อนข้างอ่อน แล้วใส่พริกขี้หนูลงไปผัด จากนั้นใส่กะหล่ำปลี ข้าวโพดอ่อน และเห็ดหูหนูดำลงไปผัด
มาม่าผัดขี้เมาเจ เมนูเจง่าย ๆ กลิ่นหอมชวนหิว
           ปรุงรสด้วยซอสแม๊กกี้ 2 ช้อนโต๊ะ ผัดจนเริ่มมีกลิ่นหอม ใส่เส้นมาม่าลงไปผัด ใส่ซอสแม๊กกี้ที่เหลือ ตามด้วยน้ำตาลทรายผัดให้เข้ากัน
มาม่าผัดขี้เมาเจ เมนูเจง่าย ๆ กลิ่นหอมชวนหิว
           สุดท้ายใส่พริกไทยสด พริกชี้ฟ้าแดง และใบกะเพรา จากนั้นเปิดไฟแรงขึ้น แล้วรีบผัดจนเข้ากัน ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

          ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวกับมาม่าผัดขี้เมาเจสูตรนี้ น่ากินใช่ย่อย แถมยังทำง่ายอีก ใครที่ไม่ได้กินเจก็ลองนำสูตรไปทำดูก็ได้นะคะ